เพชฌฆาต The Last Executioner
เข้าฉายวันที่ : 3 กรกฎาคม 2557
ผู้ผลิต : แฮนด์เมด ดิสทริบิวชั่น, ไทเกอร์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์, เดอวอร์เรนท์พิคเจอร์ จำกัด
ผู้กำกับ : ทอม วอลเลอร์
นักแสดง : วิทยา ปานศรีงาม, เพ็ญพักตร์ ศิริกุล, เดวิด อัศวนนท์,
นิรุตต์ ศิริจรรยา, พิศาล อัครเศรณี, สีเทา-จรัล เพ็ชรเจริญ, ถิร ชุติกุล,
สุชาดา โรจน์มโนธรรม
เรื่องย่อหนัง เพชฌฆาต The Last Executioner
เรื่องราวจากประสบการณ์จริง เพชฌฆาต คือเรื่องราวชีวิตของชายธรรมดาคนหนึ่งที่ผ่านชีวิต, ความตาย,หน้าที่และกรรมดีหรือกรรมชั่ว
เชาวเรศน์ จารุบุณย์ เป็นมือประหารคนสุดท้ายของประเทศไทย
ที่ปลิดชีวิตนักโทษด้วยวิธีการยิงเป้าจากนักดนตรีหนุ่มผู้หลงใหลในเพลงร็อค
แอนด์โรล และเล่นดนตรีให้กับเหล่าทหารไอจีในช่วงสงครามเวียดนาม
เขาต้องเลือกทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ผู้คุมในเรือนจำเพื่อความมั่นคงของครอบ
ครัวที่เขารักเขาใช้ชีวิตทั้งชีวิตยอมรับกรรมดีกรรมชั่วที่เกิดจากหน้าที่
ของเขา ในการทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาตผู้ปลิดชีพนักโทษมาแล้วถึง 55 คน ตลอดกว่า
19 ปี ในเรือนจำกลางบางขวางหรือที่รู้จักกันดีในนาม คุกเสือใหญ่ หรือ
The Bangkok Hilton
We Thais believe in destiny and fate. I believe inKarma.
เราคนไทยเชื่อในชะตากรรมและโชคชะตา แต่ฉันเชื่อในกฏแห่งกรรม
เมื่อในวัยเด็กตอนวันเกิดอายุครบ 11 ปี ของ เชาวเรศน์
ซึ่งเผอิญเป็นวันเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์ลอบสังหารประธานาธิบดีสหรัฐ
นายจอห์น เอฟ เคนเนดี้
พ่อและครูซื้อกีตาร์ให้เขาเป็นของขวัญวันเกิดเป็นตัวแรก
แล้วเขาก็เริ่มหัดเล่นเพลง เอลวิส ริฟส์ จากนั้นพ่อพาเขาไปพบพระรูปหนึ่ง
ซึ่งพระรูปนั้นได้พยากรณ์ไว้ว่า
เชาวเรศน์จะต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับความตาย
ในช่วงปี 2503 เชาวเรศน์ที่เติบโตในวัยหนุ่ม
ขณะกำลังวาดลวดลายบรรเลงเพลงร็อคแอนด์โรลยุคซิกซ์ตี้ส์ในบาร์ที่ชื่อว่า
Sorry About That เขาได้พบกับติ๋ว สาวน้อยที่อาศัยอยู่แถวนั้น
เขาตกหลุมรักติ๋วแล้วคบหาและตัดสินใจแต่งงานใช้ชีวิตอยู่กับเธอตลอดไปด้วย
อาชีพศิลปินต้องถึงจุดวิกฤต เขาต้องการงานสร้างฐานะที่ มั่นคง เชาวเรศน์
ตัดสินใจเลิกเล่นดนตรีเพื่อไปสมัครเป็นเจ้าหน้าที่ผู้คุมนักโทษ
แม้กระนั้นเพลงร็อคแอนด์โรลก็ยังเป็นสิ่งที่เขารักตราบจนวันตาย
จากสิบสี่ปีชีวิตการทำงานของเขา เขาอยู่ได้เลื่อนขั้น และสร้างความประทับใจให้กับเจ้าหน้าที่
ด้วยจรรยาบรรณในการทำงานของเขา, ความรู้จักหน้าที่และความใจเย็น
เชาวเรศน์
ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้ทำหน้าที่เพชฌฆาตคนใหม่หลังจากที่หัวหน้าเพชฌฆาต
คนเก่าได้ปลดเกษียรไป แม้ว่าคำทำนายในวัยเด็กจะตามหลอกหลอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิญญาณของชายตนหนึ่งที่แต่งตัวดีหน้าตาดี
คอยปรากฎตัวในทุกๆที่ตลอดช่วงชีวิตของเชาวเรศน์
เมื่อเขายอมรับงานก็จะรับรายได้พิเศษ
2,000บาทต่อการปฎิบัติหน้าที่ประหารนักโทษ เชาวเรศน์ เป็นมืออาชีพมาก
เขารู้สึกไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวเลยแม้จะเป็นการปฎิบัติหน้าที่ครั้งแรกของเขา
เชาวเรศน์ เปรียบเสมือนคนสองคนในร่างเดียว หนึ่งคนเป็นนักฆ่า
อีกคนเป็นเพียงชายธรรมดาคนหนึ่งที่รักครอบครัวเหนือกว่าสิ่งใดและรักที่จะ
ใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการบำบัดจิตใจชะตาที่มืดมิดของเขาด้วยหน้าที่
และกรรมที่เขาที่เขาทำไว้
ดูเหมือนเขาจะสามารถแยกบุคคลทั้งสองออกจากกันได้อย่างสิ้นเชิง
ทั้งพิธีการก่อนประหาร ระหว่างประหารและหลังเสร็จสิ้นการประหาร
ทุกขั้นตอนเริ่มกลายเป็นความเคยชินสำหรับเชาวเรศน์แต่ก็มีบางครั้งที่กำแพง
ระหว่างคนทั้งสองในร่างของเขานั้นเกิดสั่นคลอน
เขาไม่รู้สึกสั่นกลัวในการประหารชีวิตนักโทษหญิงคนแรกและครั้งแรกในชีวิตของ
เขา ซึ่งตอนนั้นหญิงสาวกลับไม่ได้เสียชีวิตจากการยิงประหารครั้งแรก
และถูกโดนทำการยิงประหารซ้ำอีกครั้ง
I never got pleasure out of shooting people
It was my job.
ผมไม่เคยมีความสุขในการปลิดชีวิตผู้อื่น
แต่มันคือหน้าที่
ชีวิตของเขาดำเนินไปอย่างประหลาด
ระหว่างกรรมอีกด้านจากการทำงานประหารชีวิต
และกรรมเพื่อชีวิตครอบครัวเขาประหารชีวิตเพียงทำไปตามหน้าที่เท่านั้น
อย่างไรแล้วเขายังออกไปเที่ยวร้องคาราโอเกะและทานอาหารเยอรมันตอนค่ำคืนกับ
ภรรยาของเขา
เขาสามารถเหนี่ยวไกปืนปลิดชีวิตอย่างเยือกเย็นได้ในวันเดียวกับวันที่เขา
เล่นกับลูกสาวที่เป็นที่รักแก้วตาดวงใจของเขา
หลังจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาวิญญาณก็ตามหลอกหลอนเขา ปรากฏตัวราวกับเป็นปกติ
และบ่อยครั้งขึ้นจนดูเหมือนคนทั่วไป
แต่เขาก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากกงกรรมกงเกวียนของเขาไปได้
เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนกฏหมายการลงโทษประหารด้วยการยิงเป้า
มาเป็นการฉีดยาพิษให้เสียชีวิตแทนเชาวเรศน์
ได้รับการจัดพิธีประกาศเกียรติคุณ โดยในงานมีการปล่อยลูกโป่งถึง 319 ลูก
เสมือนการปลดปล่อยดวงวิญญาณของเหล่านักโทษที่ถูกประหารด้วยวิธีการยิงเป้า
ตลอด 70 ปี ที่ผ่านมา หลังจากที่เริ่มเปลี่ยนเพชฌฆาตทีมใหม่ เชาวเรศน์
ได้กลายมาเป็นหัวหน้าเรือนจำต่างประเทศตามที่เขาได้ใฝ่ฝันและอยากจะทำมานาน
เขาเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง เขาได้ตีพิมพ์หนังสือที่เขาเขียน,
เข้าร่วมงานทูต, ออกให้สัมภาษณ์สื่อสิ่งพิมพ์และรายการทีวีต่างๆ
ให้ความรู้แก่นักเรียน
อีกทั้งยังปรากฏตัวในรายการทีวีเกมส์โชว์เวอร์ชั่นไทยที่มีต้นแบบจากอเมริกา
เพื่อบอกความจริง
ต่อมาเขาจึงตัดสินใจบวชเป็นช่วงเวลาสั้นๆ
แต่ก็ยังมีภาพในอดีตตามหลอกหลอนเขา ทั้งภาพของเหล่านักโทษที่ถูกเขาสังหาร
ภาพในอดีตของพ่อของเขาและสุขภาพของเขาที่เริ่มเสื่อมลง
เขาตัดสินใจเกษียรอายุราชการ
เขาและภรรยาตั้งเป้าหมายในอนาคตเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน
ระหว่างทางเขาเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและเมื่อกลับถึงบ้านอาการปวดท้อง
ก็ไม่ทุเลาลง ชุลี ลูกสาวบังคับให้เขาไปหาหมอ
และพบว่าเขาเป็นมะเร็งขั้นที่สามในลำไส้
เขาอดทนเข้มแข็งและปฏิเสธการรักษาตัวเอง
เพื่อเก็บเงินไว้ให้ครอบครัวอาการของเขาเริ่มทรุดลง
วันหนึ่งลูกสาวขอให้เขาเล่นดนตรีให้เธอฟัง
แต่เขาไม่สามารถสั่งการนิ้วของเขาได้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
บนเตียงที่เขาจะเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ด้วยอาการที่ทรุดหนักลงเรื่อยๆ
เขาเห็นชายสองคนที่เขาเคยเห็นพร้อมกับยมบาลพวกเขาเป็นผู้ช่วยยมบาลที่แต่ง
ตัวในชุดไทยโบราณ ชายสองคนนั้นรับตัวเขาไปยังที่สถานที่แห่งหนึ่ง
ที่นั่นเขาถูกสั่งให้เขียนสิ่งที่เขาต้องการให้คนอื่นๆ
จดจำเกี่ยวกับตัวเขาเช่นเดียวกับพิธีกรรมก่อนนำ
นักโทษประหารเข้าสู่หลักประหารนั่นเอง เชาวเรศน์ เขียนลงไปว่า
สามี/พ่อ/นักดนตรี แต่กลับไม่เขียน เพชฌฆาตแดนประหาร ลงไปด้วย
ในฉากสุดท้ายท่านยมและผู้ช่วยทั้งสองคนมาตัดสินชั่งน้ำหนักบุญและบาปของ
เชาวเรศน์ หลังจากได้รับโทรแจ้งฉุกเฉินจากโรงพยาบาล ชุลี ลูกสาวของ
เชาวเรศน์ ก็รีบไปหาที่โรงพยาบาล เมื่อเธอไปถึงที่นั้นชายทั้งสอง
กำลังพาเชาวเรศน์ เดินผ่านประตูสีแดงไป
ประตูนั้นมีลักษณะเหมือนกับประตูระหว่างแดนประหารและวัดของเหล่านักโทษไม่มี
ผิด เธอพยายามหยุดรั้งพวกเขาไว้แต่ไม่เป็นผล
ในตอนจบของเรื่องราวชีวิตที่มีทั้งสวยงามและตายที่ไม่คาดฝัน ชะตากรรมของเชาวเรศน์ก็ยังหนีไม่พ้น.
Im an executioner, not a murderer.
ผมเป็นเพชฌฆาต ไม่ใช่ฆาตกร
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น